วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฏี Max Weber

Max  Weber

            ชีวิตและการทำงาน Max Weber อยู่ในช่วงปี ค.ศ.1864-1920 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีการค้นพบทฤษฎีของ Henri Fayol  และ Frederick W. Taylor ด้วย  Max Weber เกิดในประเทศเยอรมันและอยู่ในตระกูลที่ร่ำรวย ครอบครัวเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นที่นับถือในสังคม Weber สนใจในด้านสังคมวิทยา ศาสนา เศรษฐศาสตร์ และการเมือง ในช่วงที่ Weber เขียนหนังสือ The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism เขามีโอกาสเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้เห็นระบบนายทุน ในปี ค.ศ.1904 Weber ได้รับเชิญให้ร่วมประชุมที่ Saint Louis ซึ่งเป็นเรื่องของสังคมวิทยาของศาสนา (Sociology of religion) และต่อมาได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า Bureaucracy
     แมคซ์  เวเบอร์ เป็นนักทฤษฎีองค์การชาวเอยรมัน  ซึ่งอธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงำ (Domination) โดยเขาเห็นว่าผู้นำหรือนักบริหารจะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพได้ ขึ้นอยู่กับการที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชายินยอมที่จะปฏิบัติตาม และจะต้องมีระบบการบริหารมาดำเนินการให้คำสั่งมีผลให้บังคับได้
1.  อำนาจการปกครองบังคับบัญชา (Domination)
       -  การปกครองหรือการครอบงำโดยอาศัยจารีตประเพณี
       -  การปกครองหรือการครอบงำโดยใช้บารมี
       -  การปกครองหรือการครอบงำโดยวิธีกฎหมายและการมีเหตุผล
2.  ลักษณะ
      -  มีการควบคุมกันโดยการแบ่งลำดับชั้นของการบังคับบัญชา
      -  การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎ/ระเบียบ
      -  การจัดคนที่มีความรู้ความชำนาญเข้าด้วยกัน
      -  การบริหารงานโดยไม่อาศัยเรื่องส่วนตัว
      -  เน้นการยึดถือความสามารถทางวิชาการ
      -  การเน้นความสำคัญของการพัฒนาบุคคล
      -  แยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากตัวองค์การ

ข้อดี...
     1.  องค์การมีประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency)
     2.  มีความเสมอภาค (Equity)

ข้อเสีย...
     1.  เกิดความแปลกแยก (Aienation)  ต่อองค์การ งาน และกฎระเบียบ
     2.  เกิดความเฉื่อยชา  ไม่มีประสิทธิภาพ
     3.  เกิดความล่าช้า (Red Tape) เพราะต้องเน้นกฎ/ระเบียบและการติดต่อสืื่อสารแบบเป็นทางการ
     4.  ความไม่คล่องตัว (Rigidity)  เนื่องจากเน้นการควบคุมจากเบื้องบน
     5.  เน้นความสำคัญของกฎ/ ระเบียบ และข้อบังคับมากเกินไป จนมองข้ามความสำคัญในส่วนอื่น
     6.  แบ่งแยกงานกันตามความถนัดมากจนเกินไป
     7.  ขาดการประสานงาน
     8.  การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

การนำไปใช้ : เป็นรูปแบบอุดมคติ ไม่ได้มีการทดสอบเพื่อการนำไปใช้ มองคนในลักษณะที่เป็นเครื่องมือ ไม่มีชีวิตจิตใจ คนจึงเห็นแก่ตัว เกียจคร้าน ไม่มองการณ์ไกล เชื่อถือไม่ได้ มีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ดี

ทฤษฏี Frederic W.Taylor

Frederic W.Taylor


ความเป็นมา
 
      เทเลอร์  ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management)  ซึ่งเมื่อมองจากประวัติส่วนตัวของเขาแล้วจะพบว่า Taylor เริ่มต้นจากการเป็นนายช่างในปี 1875 และเข้าร่วมงานกับ Midvale Steel Works ในฟิลาเดเฟียเมื่อปี 1878 จากนั้นก็เลื่อนไปสู่ตำแหน่งหัวหน้างานวิศวกรรมภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ด้วยการเรียนตอนเย็น

     Taylor  ได้ประดิษฐ์เครื่องจักรที่ใช้ตัดเหล็กด้วยความเร็วสูง โดยอุทิศชีวิตและเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงานมาแต่ก่อน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์
      ชื่อทฤษฎี : การจัดการอย่างมีหลักเกณฑ์/ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)

หลักการที่สำคัญ 
1.  ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study  แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
2.  มีการเลือกคนให้เหมาะสม
3.  มีกระบวนการพัฒนาคน
4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น


ข้อเสีย
    การบริหารจัดการแบบวิทยศาสต์ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบที่เป็นมนุษย์ ทำให้ขาดความไว้วางใจผู้บริหาร

การนำไปใช้
     ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific Management)" นี้ Taylor เห็นว่าสามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของ Taylor ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่องผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist)  ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์

ทฤษฏี Michael Hammer

Michael Hammer

ความเป็นมา


       Michael Hammer เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1948 and James Champy ผู้มีแนวคิดกับการ Re-Engineering กล่าวคือวงการธุรกิจในอเมริกา กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องแสวงหาวิธีการใหม่ ที่พลิกฟื้นสถานการณ์โดยเร็วที่สุด ซึ่งมีพลังผลักดัน 3 ประการคือ (1) ลูกค้า (Customer) (2) การแข่งขัน (Competitions) และ (3) การเปลี่ยนแปลง (Change) ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนในหมู่นักบริหารปัจจุบัน ตลอดจนได้มีการเปลี่ยนกรอบเค้าโครงของความคิด ( Paradigm )จากที่เคยเฉื่อยชา ต้องเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ( Globalization ) ความหมายและแนวคิด ดร.รุ่ง แก้วแดง ได้อธิบายความหมายของคำว่า การรื้อปรับระบบไว้ในหนังสือ รีเอ็นจิเนียริ่งระบบราชการไทย ตามแนวคิดของ Hammer กับ Champy และหนังสือ Reengineering the Corporation ของ แฮมเบอร์กับแชมปี แปลโดยปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ว่าการรื้อปรับระบบ หมายถึงการพิจารณาหลักการพื้นฐานของธุรกิจและการคิดหลักการขึ้นใหม่ ชนิดถอนรากถอนโคน ปรับกระบวนการธุรกิจใหม่เพื่อให้บรรลุถึงผลลัพธ์ของการปรับปรุงอันยิ่งใหญ่ คือ เป้าหมายขององค์กร โดยใช้ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่ทันสมัยและสำคัญที่สุดใน 4 ด้าน คือ ต้นทุน คุณภาพ การบริการ และความเร็ว โดยมีคำศัพท์ที่เป็นหัวใจสำคัญของรื้อปรับระบบ 4 คำศัทพ์คือ


การรื้อปรับระบบ
Rethink
Redesign
Retools
Rehumaneering

ทฤษฏี Frank B. Gilbreth & Lillian Gilbreth

Frank B. Gilbreth & Lillian Gilbreth


ความเป็นมา


      ผู้สนับสนุนแนวคิดของ Taylor อีก 2 ท่าน คือ Frank B. Gilbreth (ค.ศ.1868-1924) และ Lillian Gilbreth (ค.ศ.1978-1972) Frank B. Gilbreth ได้ออกจากมหาวิทยาลัยมาเป็นช่างก่อสร้างในปี ค.ศ.1855 ขณะมีอายุ 17 ปี สิบปีต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลการก่อสร้างอาคารของบริษัท และเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเอง ในช่วงที่เป็นอิสระจากงานของ Taylor เขาสนใจเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนไหวในการทำงาน โดยลดจำนวนการเคลื่อนที่ในการเรียงอิฐ เขาสร้างความเป็นไปได้ของการทำงานของผู้เรียงอิฐที่ได้งานเป็นสองเท่าของปกติ
       ในการทำงานของ Frank B. Gilbreth ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนโดยภรรยาของเขา คือ Lillian ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาอุตสาหกรรม เก้าปีหลังจากการแต่งงาน (ในปี ค.ศ.1924) Frank B. Gilbreth ได้เสียชีวิต Lillian เป็นที่ปรึกษาธุรกิจและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นสภาพสตรีคนแรกของการจัดการธุรกิจ จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 93 ปี

องค์ประกอบ

         Lillian Gilbreth สนใจในการทำงานของมนุษย์ ส่วนสามีสนใจในประสิทธิภาพในการทำงาน (การค้นหาวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน) Frank ได้ประยุกต์ใข้การบริหารจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific management principles) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 
1) เป็นการวิเคราะห์ทุก ๆ กิจกรรมของแต่บุคคลที่มีความจำเป็นในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะงานที่มีความสำคัญ 
2) เป็นการค้นหาวิธีการที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานเพื่อเป็นกิจกรรมประกอบแต่ละอย่าง 
3) มีการปฏิรูปกิจกรรมที่เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป้นกิจกรรมที่สามารถปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพได้ คือใช้ต้นทุนและเวลาน้อยที่สุด

ข้อดี

             Time and motion study หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การศึกษาการทำงาน (Work study) เป็นเครื่องมือที่ช่วย
1.   <!--[endif]-->ลดความสูญเปล่า ทั้งด้านเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการทำงาน
2.   <!--[endif]-->ผลผลิตในการทำงานเพิ่มขึ้น

ทฤษฏี Richard Johnson

Richard Johnson
แนวความคิด : ทฤษฎีเชิงระบบ

แนวคิดหลัก  (key concepts)

 องค์การถูกพิจารณาเป็นระบบเปิด
 การบริหารจัดการต้องมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับ ปัจจัยนำเข้าไปสู่ผลผลิต
 วัตถุประสงค์ขององค์การจะต้องมุ่งที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
 องค์การจะประกอบด้วยระบบย่อยจำนวนมาก
 มีหลายช่องทางที่จะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
 การรวมตัวจะมีขนาดใหญ่กว่าผลรวมของแต่ละชิ้นส่วน

ส่วนประกอบของแนวคิดเชิงระบบ
1.  เป้าหมาย (Goals )  และทรัพยากร  (Resources)
]-2.  องค์การ(Organization)และการประสานงาน(Coordination)
3.  การแก้ไขปัญหา  (Solutions) และแนวคิด (Perspectives)

สิ่งที่ให้ประโยชน์  (contribution)
ทำให้ยอมรับความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมภายนอก

ข้อจำกัด 
ไม่สามารถให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงในหน้าที่และงานของผู้บริหาร

ทฤษฏี Hugo Munsterberg

Hugo Munsterberg


          Hugo Munsterberg ( ปี 1863 – 1916 ) เกิดวันที่  1 มิถุนายน 1863 ที่เมือง Danzig ประเทศ Germany การศึกษา 1882 ที่  University of Geneva University of leipzig
            มันสเตอร์เบิร์ก เป็นนักจิตวิทยาของสถาบันฝึกอบรม วิลเลียม เจมส์ (William James)  นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน         ได้เชิญมันสเตอร์เบิร์กไปสอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด     เป็นที่ที่เขาได้ทดลองประยุกต์ใช้ทฤษฎีเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ประกอบด้วย  การรับรู้   และความเอาใจใส่เขามีชื่อเสียงมากในวงการศึกษาของชาวอเมริกันเขาได้ถูกเชิญให้ไปบรรยายตามที่ต่างๆ  และเป็นเพื่อนกับประธานาธิบดีรูสเวลท์   (Theodore Roosevelt)   มันสเตอร์เบิร์กให้ความสนใจกับการประยุกต์จิตวิทยามาใช้ในการแก้ปัญหาในการทำงานศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล  โดยมันสเตอร์เบิร์กเชื่อว่าจิตวิทยาสังคมสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหา ในทางปฏิบัติของอุตสาหกรรมหนึ่งของ มันสเตอร์เบิร์ก ที่นำมาใช้ทุกวันนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจทำให้คนขับรถบรรทุกมีความปลอดภัย เขาศึกษาอย่างเป็นระบบในลักษณะทั้งหมดของการทำงาน การพัฒนา ห้องปฏิบัติการที่ประดิษฐ์รถบรรทุก และรวมทั้งผู้ปฏิบัติการที่ดีสามารถเข้าใจพร้อมกันทั้งหมดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของรถยนต์

สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Hugo Munsterberg
       เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในการคิดค้นทฤษฎีองค์การสมัยใหม่เป็นผู้เริ่มต้นวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนหนังสือชื่อ Psychology and Industrial Efficiency,Hugo Munsterberg  จึงได้ชื่อว่าเป็น   บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม

แนวคิดของ  Hugo Munsterberg
          แนวคิดเชิงพฤติกรรม  (The Behavior Viewpoint)  เน้นถึงความสำคัญของการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์และการจูงใจเพื่อความสำเร็จ
         Hugo Munsterberg   เป็นผู้ริเริ่มวิธีการเกี่ยวกับจิตวิทยาอุตสาหกรรมหรือโรงงาน  หรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับบุคคล    เพื่อปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตให้มากที่สุดการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ จะเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับโน้มน้าวจิตใจหรือดึงดูดใจคนทำงาน
ผลงานของที่สร้างชื่อให้ Hugo Munsterberg   Psychology  and Industrial   Efficiency” 

สาระสำคัญ “Psychology  and Industrial   Efficiency
-  ใช้วิธีการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพด้านจิตใจและคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะทำงานนั้น
-  ใช้วิธีการส่งเสริมสภาวะทางจิตวิทยาของคนในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อจูงใจให้คนงานทุกระดับมีความสามารถ 
    สร้างผลผลิตได้อย่างเต็มความสามารถเพื่อก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุด และเป็นที่น่าพอใจโดยมีการฝึกอบรมคนงานเพื่อให้
    เกิดการเรียนรู้และนำประสบการณ์ใหม่ๆ มาใช้ทดแทนอย่างเหมาะสม
-  การให้ข้อเสนอแนะในการฝึกอบรมคนงาน  การบรรจุ แต่งตั้ง หรือการทำให้เกิดอิทธิพลต่อคนงานหรือจูงใจเพื่อให้
    เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สูด คือ ค่านิยมร่วมกัน ระหว่างผู้บริหารและคนงาน

ทฤษฏี Lyndall Urwick

Lyndall Urwick

            Lyndall Urwick เกิดเมื่อวันที่  3 มีนาคม 1891 (.. 2434) ที่ Worchectershire ประเทศอังกฤษเป็นชาวอังกฤษสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจาก Oxford  จุดเน้นทฤษฎีองค์กร หรือ Organization Theory  การทำงาน  ตามปกติเมื่อพูดถึง Urwick ก็ต้องพูดถึง Gulick พร้อมๆกันเพราะผลงานของทั้งสองเป็นที่โด่งดังในเรื่อง  ทฤษฎีองค์กร หรือ organization theory Urwick เสียชีวิตเมื่อ 5 ธันวาคม1983 (.. 2526)

กระบวนการบริหารตามทฤษฎี 

           เป็นที่กล่าวกันว่าแนวความคิดนี้ประยุกต์เพิ่มเติมมาจากแนวความคิดที่ปรมาจารย์ Henri Fayol ท่านบัญญัติเอาไว้โดยต่อยอดให้ชัดเจนขึ้น แนวความคิดจึงค่อนไปทาง   bureaucratic   อยู่บ้างใน The      Theory  of Organization มีคำย่อออกมาสู่สายตาชาวโลก  คือ POSDCoRB
P = Planning หรือ การวางแผน
O = Organizing หรือการจัดองค์กร
S = Staffing หรือ การจัดคนเข้าทำงาน
D = Directing หรือ การสั่งการ
Co = Co-ordinating หรือการประสานงาน
R = Reporting หรือ การรายงาน
B = Budgeting หรือการงบประมาณ

ทฤษฏี James Thompson

James Thompson


 แนวคิดและทฤษฎีการจัดการ

        ทฤษฎีเชิงระบบ (systems theory) (ปี 1960) เป็นวิธีการจัดการที่ผสมผสานหน้าที่ในการจัดการกิจกรรมการจัดการและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เข้าด้วยกัน โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมภายนอก ทรรศนะที่อธิบายถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีต่อองค์การถูกเสนอโดย แดเนียล แคทซ์
        โรเบิร์ต คาห์น (Robert Kahn) และเจมส์ ธอมป์สัน (James Thompson) นักทฤษฎีเหล่านี้มีมุมมองว่าองค์การเป็นระบบเปิด (open system)ซึ่งถือเป็นระบบที่องค์การได้นำทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมภายนอกมาแปรสภาพเป็นสินค้าและบริการ เพื่อส่งกลับไปยังสภาพแวดล้อมในที่ซึ่งสินค้าและบริการได้ขายให้กับลูกค้า นอกจากนั้นผู้นำทางทฤษฎีเชิงระบบเช่น ริชาร์ด จอร์นสัน (Richard Johnson) ฟรีมอนด์ แคสท์ (Fremont Kast)และเจมส์ โรเซนซ์เวจ (James Rosenweig)

แนวคิดเกี่ยวกับองค์การของ  James D.Thompson
องค์การเป็นระบบเปิดที่ทำงานในสภาพที่ ไม่แน่นอน
 องค์การพยายามดำเนินงานโดยใช้ความมีเหตุผล เพื่อเป็นการสร้างแน่นอนในการทำงาน
องค์การจะต้องคอยปรับตัวเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน

องค์การจะจัดการกับความไม่แน่นอนโดยการแบ่งหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนเทคนิค
- ส่วนจัดการ
- ส่วนสถาบัน

ทฤษฏี Robert E. Wood

Robert E. Wood

            Robert E. Wood   ต่างพยายามสร้างเครื่องมือที่ใช้เป็นกฎเกณฑ์ทางการจัดการ ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่ช่วงนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นเสียก่อนในระหว่างสงครามโลกหน่วยงานทางทหารต้องเผชิญ    กับปัญหาที่มีความซับซ้อน ทั้งในด้านการจัดระเบียบประชาชนและการส่งกำลังบำรุง 

การจัดการเชิงประมาณ(Quantitative management)

               เพื่อช่วยในการตัดสินใจ โดยใช้คณิตศาสตร์ สถิติและสารสนเทศเป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาทางการจัดการ หลังสงความโลกการจัดการเชิงปริมาณได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในแวดวงธุรกิจ อย่างไรก็ตามการใช้การจัดการเชิงปริมาณยังคงใช้ได้เฉพาะปัญหาที่มีลักษณะเป็นแบบที่มีโครงสร้าง(structured problem) ทฤษฎีวิทยาการจัดการ เป็นวิธีการสมัยใหม่ในด้านการจัดการ ที่เน้นการใช้เทคนิคเชิงปริมาณอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยให้ผู้จัดการทำการใช้ทรัพยากรองค์การ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์และบริการให้มากที่สุด  ในส่วนประกอบที่สำคัญของทฤษฎีวิทยาการจัดการ คือการขยายการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ให้มีความทันสมัย โดยการนำวิธีการเชิงปริมาณเพื่อวัดส่วนประสมของคนงานและงาน เพื่อให้ทีประสิทธิภาพสูงขึ้น

          สำหรับส่วนประกอบที่สำคัญของทฤษฎีวิทยาการจัดการ คือ การขยายการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ให้มีความทันสมัย โดยการนำวิธีการเชิงปริมาณเพื่อวัดส่วนประสมของคนงานและงาน เพื่อให้ทีประสิทธิภาพสูงขึ้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
         1. การจัดการเชิงปริมาณ (Quantitative managementโดยใช้เทคนิคคณิตศาสตร์ เช่น โปรแกรมเชิงเส้นตรงและไม่ใช่เส้นตรง (linear and nonlinear programming) ตัวแบบ (modeling) แบบจำลองสถานการณ์ (simulation)  และทฤษฎีแถวคอย (queuing theory) เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้จัดการ

       2. การจัดการการดำเนินการผลิต (Operations managementซึ่งประกอบด้วย เทคนิคต่าง ๆ ที่ผู้จัดการสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะระบบการผลิตขององค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น แบบจำลองสินค้าคงคลัง(inventory model) และแบบจำลองเครือข่าย(network model) เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจปัญหาการจัดจำหน่ายและการดำเนินการ


         3. การจัดการคุณภาพโดยรวม  (Total Quality Management:TQM

            เป็นการจัดการคุณภาพของหน่วยงานในองค์การทั้งหมด ซึ่งประกอบได้ด้วยฝ่ายต่างๆ ที่ผู้จัดการสามารถนำเทคนิคต่าง ๆ ไปใช้ในการวิเคราะห์ระบบการผลิตในองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  เช่นแบบจำลองสินค้าคงคลัง(inventory model) และแบบจำลองเครือข่าย(network model)เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจปัญหาการจัดจำหน่าย โดยะเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยนำเข้าในกระบวนการเพื่อแปรสภาพให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพของผลิตภัณฑ์


       4.  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ   (management information systems)

              เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้จัดการออกแบบระบบสารสนเทศ เพื่อจัดสารสนเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อประกอบการตัดสินใจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการยังช่วยให้ผู้จัดการและบุคลากรในระดับต่างๆ ได้รับสารสนเทศที่จำเป็นต่อการนำไปใช้ประโยชน์และมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างไรก็ตามในการนำทฤษฎีวิทยาการจัดการไปใช้ประโยชน์นั้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ(information technology)ได้เข้ามามีส่วนในการปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การได้เป็นอย่างดี และถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์การ

ทฤษฎี Peter F.Drucker

Peter F.Drucker


              Peter F. Drucker ปรมาจารย์ทางด้านการจัดการเสียชีวิตไปเมื่อ 11พฤศจิกายน 2548 ด้วยวัย 95 ปีตลอดระยะเวลาการใช้ชีวิตเกือบทศวรรษของ Drucker ได้รับการยอมรับจากสังคมในฐานะผู้นำเสนอความรู้ใหม่ให้กับโลกธุรกิจและด้านการจัดการออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งครั้งใดที่เขาออกมาแสดงบทบาทมักจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งนักบริหารธุรกิจในภาคเอกชน ภาครัฐ และรวมทั้งนักบริหารจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร และนำแนวคิดนั้นมาวางแผนบริหารธุรกิจของตนเอง ชื่อเสียงของ Drucker เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างตั้งแต่เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรก The End of Economic Man, The Origin of Totalitarianism ในปี 1939 ซึ่งเป็นหนังสือเล่มโปรดของ Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ 6ปีจากนั้นเริ่มสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับในโลกธุรกิจและการจัดการจากหนังสือเรื่อง Concept of the Corporation และโด่งดังสุดๆกับ The Practice of management หนังสือการจัดการองค์กรสมัยใหม่ที่ยังนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรต่างๆได้จนกระทั่งปัจจุบัน
           18 Famous Quotes by Peter F. Drucker “Quality in a product or service is not what the supplier puts in. It is what the customer gets out and is willing to pay for. A product is not quality because it is hard to make and costs a lot of money, as manufacturers typically believe. This is incompetence. Customers pay only for what is of use to them and gives them value. Nothing else constitutes quality.” Quality Quotes 
     “Commitment in the face of conflict produces character.” Commitment Quotes 
     “Efficiency is doing things right; effectiveness is doing the right things.” Efficiency Quotes 
     “Mentor: Someone whose hindsight can become your foresight” Foresight Quotes


ทฤษฏี Thomas J.Peters

Thomas J.Peters


    แนวคิดนักบริหารกับมิติการจัดการ  : Thomas J. Peters   ผลงานที่ยอดเยี่ยม  คือ  Insearch of Excellence

คุณสมบัติที่ทำให้องค์กรเป็นเลิศ 8 ประการ
1.  การมุ่งเน้นที่การปฏิบัติ (Bias for Action)
2.  การมีความใกล้ชิดกับลูกค้า (Close to the Customer)
3.  การให้ความอิสระในการทำงานและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจการ (Autonomy and Entrepreneurship)
4.  การเพิ่มผลผลิตโดยพนักงาน (Productivity Through People)
5.  การติดตามงานอย่างใกล้ชิดและการใช้ค่านิยมเป็นแรงผลักดัน (Hands-on and Value Driven)
6.  การทำแต่ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ (Stick to the Knitting)
7.  การมีรูปแบบที่เรียบง่ายและใช้พนักงานอย่างมีประสิทธิภา   (Simple Form and Lean Staff)
8.  การเข้มงวดและผ่อนปรนในเวลาเดียวกัน (Simultaneous Loose tight Properties)

องค์ประกอบองค์การแห่งความเป็นเลิศ

ทฤษฏี Elton Mayo

Elton  Mayo
    
     Elton Mayo  เป็นหัวหน้า Department of Industrail Relations Research ของบัณฑิตวิทยาลัยด้านการบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ร่วมกับ J.E. Roethlisberger ศาสตราจารย์วิชามนุษยสัมพันธ์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทำการศึกษาทดลองเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานขึ้น โดยสนใจปัญหาความเหนื่อย อุบัติเหตุ และการเปลี่ยนแปลงงานของคนงาน เช่น ความสกปรกของโรงงาน และการถ่ายเทอากาศ เป็นต้น

1.  ชื่อการศึกษาทดลอง : Hawthome Experiment ประกอบด้วยโครงการดังนี้
       -  The illumination Study
       -  The Relay assembly Test Room Study
       -  The Interviewing Programme
       -  The Blank Writing Observation Room Strdies

2.  สรุปผลการทดลอง
       -  คนมีความต้องการทางสังคม ต้องการเพื่อน และต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ในความสำคัญ
       -  กลุ่มมีทุกระดับขององค์การ โดยบุคคลจะยินยมให้กลุ่มครอบงำพฤติกรรม
       -  ค้นพบความสำคัญขององค์การนอกรูปแบบ หรือองค์การที่ไม่เป็นทางการ
      -  ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการทำงานแบบของผู้นำมี 2 รูปแบบ คือ
                -  แบบชอบอำนวยการ (Initiating Structure)
               -  แบบเห็นใจและเข้าใจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา (Consideration)
     -  อาศัยหลักวิธีการที่ดีที่สุดในการติดต่อสัมพันธ์กัน

การนำไปใช้

   1.  พบว่าการบริหารงานในองค์การควรมีลักษณะการกระจายอำนาจ
   2.  การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารองค์การ เพราะจะทำให้คนงานมีขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี
  3.  ควรมีการปรึกษาหารือกันเสมอระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อก่อให้เกิดการติดต่อสื่อสารแบบ Two-ways Communication

ทฤษฏี Franklin D.Roosevelt (FDR)

Franklin D.Roosevelt (FDR)


องค์ประกอบของ New Deal

3 Rs    คือ
1.  Relief
2.  Recovery
3.  Reform

เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
1. ปฎิรูประบบเศรษฐกิจและสังคมในช่วงสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ
2.  ให้ประชาชนทุกชนชั้นอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวและสันติ
3.  ผลักดันให้เกิดองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศที่เรียกว่าองค์การสหประชาชาติ

ข้อดี และข้อเสียของ New Deal
ข้อดี....
-  เป็นมาตรการที่ช่วยสร้างงานให้ประชาชนและผันเงินเข้าสู่ชนบท
-  มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ
-  เป็นการจัดการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
-  เป็นการจัดการใหม่ที่ให้ความหวังแก่คนทั้งประเทศให้สู้กับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ข้อเสีย....
1.  เป็นการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลางมากเกินไป
2.  นโยบายหลาย ๆ โปรแกรมไม่ใช่แนวทางของอเมริกันตามกรอบของรัฐธรรมนูญ

ขั้นตอนการจัดทำ
-  วิเคราะห์ตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยเร่งดำเนินการจัดทำในกรณีเร่งด่วนเป็นอันดับแรก
-  ประชุมคณะรัฐบาลและที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน
-  กำหนดนโยบายการบริหารจัดการตามวาระเร่งด่วน
-  นำนโยบายสู่ภาคปฏิบัติตามรัฐต่าง ๆ จากส่วนกลาง สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและโปร่งใส

กรณีศึกษา
การบริหารการศึกษาในระดับสถานศึกษาในสหราชอาณาจักร
     www.mc.ac.th/ebook/pdf/4210019/pdf

ทฤษฏี Frederick Herzberg

Frederick  Herzberg

ชื่อทฤษฎี่ : ทฤษฎีสองปัจจัย (Two-factors Theory) หรือทฤษฎีการจูงใจของเฮิร์กเบิร์ก (Herzberg's Theory of Motivation)

หลักการและแนวคิด
          Herzberg  ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของบุคลกรในองค์การ โดยศึกษาถึงทรรศนะคติของบุคคลที่มีต่อการทำงานเพื่อหาทางที่จะลดความไม่พอใจในการทำงาน เพื่อที่จะทำให้คนงานมีความรู้สึกที่ดีในการที่จะพยายามเสริมสร้างผลผลิตของงานให้มากขึ้น เขาพบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่องานแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

      1.  ปัจจัยจูงใจ (Motivates Factors)  เป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนทำงาน โดยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ดีที่จะเกิดขึ้นกับพนักงาน อันจะทำให้พนักงานมีความพึงพอใจเกี่ยวกับงานที่จะทำ
      2.  ปัจจัยอนามัย (Hygiene or Maintenance Factors)  เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่จะสร้างความไม่พอใจในการทำงานให้กับพนักงาน ซึ่งจะเป็นตัวสกัดกั้นไม่ให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานขึ้นได้ หรือเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นที่จะป้องกันมิให้คนไม่พอใจในงานที่ทำอยู่





ปัจจัยจูงใจ (Motivators)
1.  ความสำเร็จในชีวิต (Achievement)
2.  การเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป  (Recognition)
3.  งานที่มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
4.  งานที่ทำแล้วมีโอกาสก้าวหน้า  (Advancement)
5.  ตำแหน่งงานที่ดี (Work Itself)
6.  งานมีความสุข (Growth)

ปัจจัยอนามัย (Hygiene)
1.  นโยบายและการบริหารที่ดี
2.  การควบคุมงาน
3.  ความสัมพันธ์กับหน้าที่
4.  เงื่อนไขการทำงานที่ดี
5.  เงินเดือนดี
6.  ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร
7.  การมีชีวิตส่วนตัวที่ดี
8.  ความสัมพันธ์แวดล้อมอื่น ๆ
9.  สถานะภาพของตนเองในงาน
10. ความมั่นคงปลอดภัย


การนำไปใช้
    ตามทฤษฎีนี้ ปัจจัยทั้ง 2 จำพวกนี้ Herzberg  เห็นว่า "Motivatiors" เป็นสื่อที่น่าสนใจมากกว่า เพราะเขามองเห็นในแง่ที่ว่า Motivatiors เปรียบเสมือนกับทฤษฎี Y

ทฤษฏี Chester Barnard

Chester Barnard


แนวคิด
Barnard เป็นนักทฤษฎีสมัยปัจจุบัน โดยเขาได้ศึกษาวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบตั้งแต่ปี ค..1938 แล้วนำมาเขียนหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการบริหารองค์การในสมัยปัจจุบัน โดยเห็นว่าองค์การเป็นระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ ภายในระบบดังกล่าวจะมีความเกี่ยวพันที่ประสานกันโดยมีเป้าหมายของการตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล และเห็นว่าบุคคลแต่ละคน องค์การ ผู้ขาย และลูกค้า ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อม 

หลักการ
1.  เน้นความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
2.  มีการกระจายความพึงพอใจของบุคลากรในองค์การออกไปอย่างเท่าเทียมกัน (The contribution satisfaction equilibrium) : โดยเห็นว่าการสื่อสารในองค์การเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างดุลภาพของความต้องการระหว่างบุคคลกับองค์การ (Inducement) เพื่อโน้มน้าวให้บุคคลทำงานด้วยความต้องการขององค์การ ในจุดที่องค์การต้องสร้างความพึงพอใจแก่บุคคลในการทำงานด้วย
3.  นักบริหารมีหน้าที่สำคัญ คือ
     -  ดูแลติดต่อประสานงานภายในองค์การ
     -  รักษาสมาชิกภายในและชักจูงสมาชิกใหม่
     -  กำหนดเป้าหมายขององค์การ และตีความเพื่อแสดงให้สมาชิกในองค์การได้รับรู้
     -  ใช้ศิลปะเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
     -  ทำงานด้วยความรับผิดชอบ โดยใช้หลักของศีลธรรม

เครื่องมือนี้คืออะไร/ มีองค์ประกอบอะไร
ชื่อทฤษฎี : องค์การไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
        เป็นทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรม เป็นระบบความร่วมมือของมนุษย์ในการทำกิจกรรม โดยเน้นปัจจัยสำคัญด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรบรรลุเป้าหมายจะทำให้เกิดความร่วมมือจากบุคลากร โดยมุ่งองค์กรเป็นระบบการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย
     1. ความสำคัญของพฤติกรรมมนุษย์ (Importance of individual behavior)
     2. ทฤษฎีการให้ความร่วมมือของ Barnard (Barnard theory of compliance)
     3. ทฤษฎีโครงสร้างขององค์การของ Barnard (Barnard theory of organization structure)

เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
ความคิดเห็นของ Barnard สามารถที่จะนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งในแง่ขององค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) และไม่เป็นทางการ (Informal Organization) ซึ่งผลงานที่สำคัญของ Barnard คือ Functions of the Executive 1938 จากตรรกะทางความคิดที่ว่า องค์การ คือ ระบบความร่วมมือ ดังนั้น ถ้าจะนำองค์การให้บรรลุเป้าประสงค์ ผู้บริหารจัดการจะต้องทำหน้าที่  3 ประการ คือ
        1.  การสร้างและการดำรงรักษาระบบการสื่อสาร
        2.  สร้างความมั่นใจด้านการบริการจากบุคลากรผู้เป็นสมาชิกองค์การ
        3.  กำหนดจุดประสงค์และเป้าหมาขององค์การ


ข้อดี
ข้อเสีย
1. ก่อให้เกิดความร่วมมือ (cooperation)ในองค์การ
1.  องค์การไม่เป็นทางการทำให้ยากต่อการควบคุม (สายการบังคับบัญชาไม่ชัดเจน)
2. การทำงานในองค์การเกิดประสิทธิภาพ
    (Efficiency)
2.  หากบุคลากรขาดทักษะด้านการสื่อสารส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการปฏิบัติงาน
3. บุคลากรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้
     อย่างทั่วถึง (เน้นระบบการสื่อสาร)
4. องค์การที่ไม่เป็นทางการทำให้การบริหารองค์การ
     มีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่น (Flexibility)
5. บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน



ใช้อย่างไร (หรือจัดทำอย่างไร)

      ทฤษฎีของ Barnard เป็นทฤษฎีการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรม  Barnard  ได้กล่าวถึงหน้าที่ สิ่งที่กระตุ้นจูงใจ (Authority and incentives) เกี่ยวกับบริบทระบบการสื่อสารในองค์กร คือ
      1.  ช่องทางการสื่อสารต้องกำหนดขอบเขตให้แน่นอน
      2.   บุคลากรทุกคนต้องรู้ช่องทางการสื่อสาร
      3.  บุคลากรทุกคนต้องสามารถเข้าถึงช่องทางการสื่อสาร
           ที่เป็นทางการ
     4.  สายบังคับบัญชาการสื่อสารต้องสั้นและตรงให้มากที่สุด
     5.  บุคลากรต้องมีศักยภาพเพียงพอสำหรับการสื่อสาร
     6.  ต้องไม่มีอุปสรรคในสายบังคับบัญชาการสื่อสาร
          เมื่อองค์การปฏิบัติงาน
  7.  การสื่อสารทุกรูปแบบต้องเกิดผลน่าเชื่อถือ

มีใครนำเครื่องมือนี้ไปใช้บ้าง และได้ผลสรุปอย่างไร

         ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการสร้างระบบความร่วมมือขึ้นระหว่างองค์การกับคน และองค์การกับสภาพแวดล้อม และจูงใจพนักงานให้ร่วมมือกันทำงาน รวมถึงการสร้างดุลยภาพระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา